BamBam - Billboard Thailand (Eng Trans)

วันที่ 2017-08-26 20:15:00 ผู้เข้าชม : 14906

-->
<--


25p : billboardthailand

Eng Trans -->  ahgawings

อ่านออนไลน์ 

All Eyes on Me: ชีวิต ความคิด ความฝัน ของแบมแบม-กันต์พิมุกต์ ภูวกุล
เดินทางไปเกาหลีด้วยตัวคนเดียวตั้งแต่อายุสิบกว่าปีเดบิวต์ในฐานะเคไอดอลตอน อายุไม่ถึงยี่สิบปีและวันนี้ในวัย 21 ปีแบมแบม-กันต์พิมุกต์ ภูวกุล คือหนุ่มน้อยที่มีคน รักและติดตามมากที่สุดคนหนึ่งของประเทศไทย

เราเจอแบมแบมมาหลายครั้ง เพราะนาทีนี้ GOT7 วงเคป๊อปในสังกัด JYPE ที่ประกอบด้วย สมาชิก 7 คนปะปนกันไปทั้งชาวเกาหลี จีน และหนุ่มไทยเพียงคนเดียวในวงคนนี้มาแรงมาก มากแค่ไหน ก็แค่เป็นเคป๊อปวงเดียวในประวัติศาสตร์ที่สามารถเดินสายทัวร์ 4 ภาค 4 จังหวัด ในประเทศไทยพร้อมสถิติบัตรโซลด์เอ๊าท์ (ก่อนหน้านี้คอนเสิร์ตแรกของ GOT7 ก็เล่นที่อิม แพคอารีน่าถึง 2 รอบ และบัตรหมดเกลี้ยงภายในเวลาไม่กี่นาที) ปีที่แล้วจนถึงปีนี้ถือเป็นปี ทองของพวกเขา เอาแค่การเป็นพรีเซนเตอร์สินค้าต่างๆ ก็มากมายหลายแบรนด์ ครอบคลุม ตั้งแต่ของกิน ของใช้ ไปจนถึงเครื่องสำอาง ด้วยเหตุนี้เราจึงได้เจอแบมแบมและ GOT7 ค่อน ข้างบ่อยตามงานแถลงข่าวต่างๆ และในคอนเสิร์ต

แบมแบมจากมุมมองของคนที่อยู่ด้านล่างเวทีอย่างเรา เป็นไอดอลนิสัยดี มีความอ่อนน้อมถ่อม ตน เป็นมิตร เป็นกันเอง และเมื่อได้เจอกันตัวต่อตัวครั้งแรกในวันนี้ เขาก็เดินเข้ามาในสตูดิโอ อย่างง่ายๆ โดยไม่ต้องมีทีมงานมาเคลียร์พื้นที่ล่วงหน้าหรือเตรียมการพิเศษใดๆ หนุ่มน้อยมา พร้อมผมสีแดงเจิดจ้า ขายาวๆ รอยยิ้ม และ “สวัสดีครับ” กับการยกมือไหว้ในนาทีที่สบตากัน โดยยังไม่ต้องทันแนะนำตัวว่าใครเป็นใคร แล้วเขาก็เดินไปทิ้งตัวแปะลงบนโซฟา ซึ่งมีอยู่ตัว เดียวในห้องแต่งตัว พยักหน้าให้เราลงนั่งข้างๆ บอกว่า “เหนื่อยจัง แต่เริ่มได้เลยครับพี่ ผม ขอดื่มน้ำหน่อยนะครับ ข้าวไม่ต้อง เมื่อกี้กินส้มตำปูปลาร้าของโปรดมาแล้ว”

เส้นทางการเข้าสู่วงการเคป๊อปของแบมแบมเริ่มขึ้นเมื่อเขาเข้าประกวดเต้นคัฟเวอร์เพลงของ เรนผู้เป็นไอดอลในดวงใจ และชนะรายการ Rain Cover Dance In Thailand ในปี 2007 ตอนที่อายุเพียง 10 ขวบ แล้วยังได้อันดับ 2 ในฐานะสมาชิกทีม WE ZAA COOL (ในทีมมีลลิซ-ลลิษา มโนบาล สมาชิกวง BLACKPINK ด้วย) จากรายการประกวด LG Entertainer In Thailand ปี 2010 ความสามารถไปเข้าตาค่าย JYPE และแบมแบมก็บินไปอยู่ที่ประเทศเกาหลีในฐานะเด็กฝึกของค่ายจนได้เดบิวต์กับวง GOT7 ในเดือนมกราคมปี 2014

การต้องจากบ้านเกิดเมืองนอนไปอยู่ที่ประเทศอื่นตัวคนเดียวแถมยังเด็กมากเป็นการตัดสินใจที่ยากไม่น้อย แต่เมื่อตัดสินใจว่าจะไปแล้ว เรื่องความล้มเหลวก็ไม่เคยอยู่ในหัว

“ผมไม่ได้ไปด้วยความคิดว่าเราอาจจะโดนส่งกลับไทย มีแต่จุดหมายที่ว่าไปแล้วเราต้องทำให้ได้ ไม่ใช่เชื่อมั่นสูงนะครับ แต่เป็นวิธีคิดมากกว่า ถ้าคิดว่าลองดู ได้ไม่ได้ค่อยว่ากัน ผมเชื่อว่ามันคงไม่ได้ ฉะนั้นตอนที่จะไปผมคิดอย่างเดียวแค่ว่า ยังไงก็ต้องได้ เราต้องทำสำเร็จ”

การทุ่มหมดหน้าตักเป็นดาบสองคม ถ้าผิดหวัง ชีวิตอาจจะดิ่งไปถึงไหนๆ แต่เมื่อสำเร็จขึ้นมา มันก็ยิ่งเพิ่มพูนความเชื่อมั่น “พอเราทำได้จริงๆ ก็ยิ่งมั่นใจในตัวเองมากขึ้นสำหรับงานต่อๆ ไป ผมคิดแบบนี้กับทุกเรื่อง อย่างเวลาทำเพลง ถ้ามีแวบหนึ่งขึ้นมาว่า เอ๊ะ จะได้มั้ยนะ จะดีมั้ยนะ ผมจะหยุดทำเพลงนั้น แล้วทำเพลงใหม่ที่ให้ความรู้สึกว่า เออ นี่แหละ มันต้องแบบนี้ มันต้องได้ แล้วมันก็ได้จริงๆ กลายเป็นเชื่อมั่นในความคิดตัวเองมากขึ้น”

“เป็นคำถามที่ยากนะเนี่ย” เขายิ้มเมื่อเราถามว่าคิดว่าตอนนี้ตัวเองประสบความสำเร็จหรือยัง ก่อนจะตอบคำถามนั้นแบมแบมเล่าด้วยสายตาเป็นประกายว่าปีนี้เป็นปีที่เขามีความสุขมาก

“ทุกอย่างคลี่คลาย เรื่องไม่ดีก็ผ่านไป คอนเสิร์ตวันที่สองที่กรุงเทพฯ ของทัวร์ 4 ภาค พอลงมาจากเวที ไม่มีอะไรที่รู้สึกเสียดายเลย ไม่มีความคิดว่าเราเต้นผิดรึเปล่า มีแต่คิดว่า ‘แบม แกทำดีที่สุดของแกแล้ว ดีมากกว่านี้ไม่ได้อีกแล้วในวันนี้’ ภูมิใจในตัวเอง ภูมิใจกับคอนเสิร์ต รวมถึงทุกคนที่มีส่วนกับงานวันนั้น”

ไฮไลต์อีกอย่างของปีนี้สำหรับเขาคือคอนเสิร์ต Final ที่ญี่ปุ่น เป็นคอนเสิร์ตปิดทัวร์ความยาว 1 เดือนของ GOT7 ที่มีความพิเศษตรงแบมได้โชว์อีกหนึ่งทักษะของตัวเองคือการถ่ายวิดีโอ ตัดต่อเอง เอาไปขึ้นจอในคอนเสิร์ตใหญ่ และได้รับฟีดแบ็คที่ดีมากจากแฟนๆ ซึ่งถือเป็นความภูมิใจส่วนตัว นอกเหนือไปจากการที่ตัวคอนเสิร์ตเองก็น่าประทับใจไม่น้อย

“เรียกว่าสำเร็จในระดับหนึ่งแล้วกัน” หนุ่มน้อยตอบคำถามในที่สุดด้วยใบหน้ายิ้มๆ “แต่ผมเป็นคนประเภทที่ชอบตั้งเป้าหมาย พอได้แล้ว ก็จะตั้งเป้าหมายต่อๆ ไปอีก มันไม่มีวันหมด ผมเคยตั้งเป้าหมายไว้ว่าอยากเล่นคอนเสิร์ตที่อิมเเพ็คอารีน่า ก็ได้เล่นแล้ว ก็จะมีเป้าหมายต่อไปคือเล่นที่สนามราชมังคลาฯ มันอาจจะเป็นเป้าหมายที่ใหญ่เกินไป แต่ก็ยังดีกว่าไม่มีเป้าหมายเลย”

หลายคนอาจแปลกใจกับความมุ่งมั่นจนคล้ายเข้มงวดกับตัวเองของหนุ่มน้อยวัยเพียง 21 ปี ที่ดูเหมือนชีวิตกำลังสวยงาม แต่ถ้ารู้จักแบมแบมมาก่อน คุณจะไม่แปลกใจ ในฐานะลูกชายคนที่ 3 ของครอบครัวฐานะปานกลางที่มีคุณแม่รับภาระดูแลเพียงคนเดียว หนึ่งในเหตุผลที่เขาตัดสินใจไปเป็นศิลปินที่เกาหลีก็เพราะต้องการช่วยเหลือแบ่งเบาภาระทางบ้าน การวางแผนรวมทั้งตั้งเป้าหมายในเรื่องต่างๆ เป็นสิ่งที่แบมคุ้นเคย ตั้งแต่การตั้งเป้าว่าจะต้องซื้อบ้านให้ได้ภายใน 1 ปีหลังจากที่เดบิวต์ ต้องใช้เงินตัวเองซื้อรถยนต์ให้น้อง ซึ่งเขาก็สามารถทำมันได้จริงๆ

แต่เมื่อพูดถึงเรื่องการใช้ชีวิต ความคิด การติดต่อกับผู้คนโดยทั่วไป แบมกลับเป็นคนสบายๆ อะไรก็ได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่เขายืนยันว่าเป็นแบบนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไร จนวันนี้ก็ยังเหมือนเดิม และเราก็รับรู้ได้จากการนั่งคุยกับเขามาจนถึงตอนนี้ ที่สถานะ ‘เคไอดอล’ ที่เคยมีต่อแบมแบมเริ่มจะลางเลือน ถ้าไม่เกรงใจความดังของ GOT7 อยากจะบอกว่าเหมือนนั่งคุยกับน้องชาย ยิ่งคุยก็ยิ่งสนุก ยิ่งคุยก็ยิ่งคุยเก่งขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งคุยแบมก็ยิ่งปล่อยตัวตามสบาย ถึงอย่างนั้นเขาก็บอกว่าในความสบายมีความจริงจัง เนื่องจากสิ่งที่ได้พานพบและเรียนรู้ในฐานะแบมแบม GOT7 ทำให้ตัวเขาเปลี่ยนไปจากเดิมไม่น้อย

“ผมว่าสิ่งที่เปลี่ยนไปมีเยอะกว่าสิ่งที่ไม่เปลี่ยน ตั้งแต่เดบิวต์มา ทั้งความคิด นิสัย ความรู้สึก ทุกอย่างเปลี่ยนไปเยอะพอสมควร ผมจะไม่โกหกว่าผมไม่เปลี่ยน” เขายอมรับ “เปลี่ยนจนบางคนก็บอกว่าแบมเปลี่ยนไป แต่การทำงานตรงนี้ทุกวันๆ คนเรามันต้องเปลี่ยนไปบ้างแหละ แค่จะเปลี่ยนยังไง ตัวผมไม่ได้ไปโรงเรียน แต่ได้เรียนรู้นอกตำราเยอะ ได้รู้ว่านี่คือโลกจริงๆ มีหลายคนที่พูดว่าคนที่เรียน หนังสือมักไม่รู้ว่าโลกภายนอกเป็นยังไง ไปเจอโลกข้างนอกจริงๆ ที่เราเรียนจากหนังสือมันก็ไม่ได้จะใช้ได้ 100% ผมไม่ได้บอกให้เลิกเรียนนะ แต่สำหรับตัวผมการเรียนรู้นอกตำราเป็นผลดี ทำให้ผมไม่เหมือนคนอายุ 21 ส่วนใหญ่”

ในด้านที่ค่อนข้างส่วนตัว ประสบการณ์ทำให้เขาเรียนรู้ที่จะปกป้องตัวเองด้วยการเลือกคบคน
“ผมได้เจอคนเยอะ แรกๆ ก็เฮฮาไปหมดกับทุกคน แต่พอเรียนรู้มากขึ้น รู้ว่าใครควรคบไม่ควรคบ ผมก็จะถอยออกมา ซึ่งเป็นสาเหตุให้หลายคนพูดว่าผมเปลี่ยนไป ก็เปลี่ยนจริงๆ นะ ดีกว่ายอมให้เขาหลอก” แม้จะจบประโยคด้วยเสียงหัวเราะ แต่ความขมในน้ำเสียงกับหน้าจ๋อยๆ ตอนเล่าก็ทำเอาอดคิดไม่ได้ ว่าเป็นคนดังก็ใช่จะพบเจอแต่ความสวยหรู

ในเรื่องการทำงานก็เช่นกัน แบมจะปิดโหมดยังไงก็ได้ กลายเป็นคนจริงจังขั้นสุดขึ้นมาทันที
“เมื่อก่อนสมมุติเต็มร้อย งานออกมา 70% ผมจะแบบ... เออ แค่นิดเดียว ไม่เป็นไรแต่ เดี๋ยวนี้แค่นิดหน่อย แค่งานติดขัด ผมจะรู้สึกหงุดหงิด ทำไมเป็นอย่างนี้ทำไมไม่ออก มาเป็นแบบนี้ ไม่มีการปล่อยผ่านแล้ว”

เขาสรุปง่ายๆ ว่าตัวเอง ‘เซนซิทีฟ’มากขึ้นในหลายๆ เรื่อง แม้กระทั่งเรื่องอาหาร
“ถ้าบอกว่าข้าวจะมาตอนเที่ยง แต่มาบ่ายโมง แล้วต้องเริ่มงานบ่ายโมงครึ่ง มันทำให้ เราต้องรีบกิน แล้วไปเต้นเลย มันก็จุกผมจะหงุดหงิดว่าทำไมถึงเลทหนึ่งชั่วโมง ทั้งที่ เราถามไปแล้ว ถ้าผมไม่ถามแล้วข้าวมาเลทโทษผมได้เลยว่าไม่ถาม ไม่ใส่ใจเอง แต่นี่ เราใส่ใจแล้ว เพราะบ่ายโมงครึ่งต้องเริ่มงานมันสำคัญนะครับที่เราต้องมีเวลากิน เวลาย่อย ก่อนไปเต้น แล้วทำไมเลท จริงๆมันเป็นแค่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ครับ ผมแค่เปรียบ เทียบเฉยๆ ผมจะจริงจัง เป๊ะกับทุกเรื่อง อารมณ์ประมาณนี้”

จริงๆ แล้วก็อยากจะบอกแบมว่าสิ่งที่ยกตัวอย่างมันไม่ใช่เรื่องอาหาร แต่คือเรื่องของตารางเวลา น่าเอ็นดูในภาษาไทยที่มีความงงๆ ในบางครั้ง ความซื่อๆ และความตั้งใจยกตัวอย่างของแบมแบมมาก 

ความแตกต่าง ความเชื่อมั่นในตัวเอง และความผ่อนคลาย คือสามสิ่งที่แบมใช้เป็นหลักการพื้น ฐานของชีวิตเขาหัวเราะแล้วบอกว่าข้อหลังดูเหมือนจะไม่เข้าพวก แต่ก็อย่างที่บอกไป แม้จะ เข้มงวดกับตัวเองแต่ในอีกด้าน เขาก็ไม่ทิ้งความสบายๆ ง่ายๆ เช่นกัน

“ผมคิดเรื่องความแตกต่างมาตั้งแต่ตอนค่ายเรียกไปเป็นเด็กฝึก JYP เรียกครั้งแรก ผมยังไม่ไป แต่เขาก็เรียกอีกเป็นครั้งที่ 2 มันเลยมีจุดหนึ่งที่ผมเชื่อว่าผมคงมีอะไรที่ แตกต่างไม่เหมือนคนอื่น เขาเลยตั้งใจจะเอาผมไปให้ได้ คนเต้นเก่ง ร้องเพลงดีมีเยอะครับ แต่สิ่งที่จะทำให้มีเสน่ห์และโดดเด่นคือความแตกต่าง เขาน่าจะเห็นสิ่งนี้ในตัวผม”

JYP ไม่ได้คิดผิด แบมยืนยันด้วยหน้าตาดื้อๆ ว่าตัวเองไม่ชอบทำอะไรในกรอบตั้งแต่เรื่องการ ทำเพลง ที่ค่ายอยากได้แบบไหน ขอให้ได้นอกกรอบสักนิดเพื่อให้เกิดความแปลกใหม่และ สีสันที่เป็นตัวของเขาเองขึ้นมาสักหน่อยไปจนถึงเรื่องการแต่งตัว ถ้ายังจำกันได้ การใส่ ‘ส้นสูง 8 ซม.’ขึ้นแสดงบนเวทีของเขาเคยทำให้ฮือฮากันมาแล้ว

“คนอาจจะคิดว่าต้องทำตามคำสั่งค่ายเป๊ะๆ จริงๆ เราสู้ได้ครับ” เขาหัวเราะตาหยี “แต่สู้ด้วยเหตุผลนะ อย่างตอนส้นสูง 8 ซม. เขาก็ถามว่าใส่สูงขนาดนั้นจะเต้นได้เหรอ ผมบอกก็ลองดู เรารู้ว่าเราทำได้ แล้วชอบอะไรที่ไม่เหมือนใคร โอเค ผมอาจจะไม่ได้เต้นเก่ง เต้นดี ติดอันดับ Top10 ไอดอลเคป๊อป แต่ผมมีความแปลกใหม่มาให้คนเห็น จะมีใครใส่ส้นสูง 8 เซนฯ มาเต้น!”

การเป็นคนไทยท่ามกลางเกาหลีและจีนในวงการเคป๊อปก็ถือเป็นความแตกต่างและโดดเด่นเช่นกัน เพราะแม้จะมีเมมเบอร์ชาวไทยในหลายวงไอดอลตอนนี้ แต่เมื่อเทียบสัดส่วนแล้วก็ยังถือเป็นส่วนน้อย ซึ่งทุกคนก็รู้จักกันหมด เพียงแต่อาจจะได้พบเจอกันมากบ้างน้อยบ้างตามแต่เวลาและโอกาสจะอำนวย

“ผมสนิทกับพี่ลิซอยู่แล้ว คุยกันทุกเรื่อง พี่คุณ (นิชคุณ หรเวชกุล วง 2PM) อยู่ค่าย เดียวกันก็จริงแต่แรกๆ ผมกลัวพี่คุณ เพราะพี่เขาดังระดับไหนแล้ว ตอนนั้นเรายังเด็ก มากอยู่เลย ก็จะมีความเกร็งครับเพิ่งมาสนิทกันประมาณปีที่แล้ว พี่คุณขับรถมารับผม พาไปกินข้าว แรกๆ ก็ยังเกร็งนะผู้ชายสองคน อายุ 21 กับ 28 เจอกันคุยกัน มันก็ต้อง เริ่มจากคุยกันเรื่องชีวิตหนักๆ ก่อนแล้วค่อยเฮฮาทีหลัง แต่วันต่อมาพี่คุณโทรหาผม อีกแล้ว ‘แบม ไปกินข้าวกันอีก’ผมก็แบบ... ‘อีกแล้วเหรอ ไปก็ไป’ เหมือนเพื่อนวัยพี่ เขาคุยเรื่องชีวิตอย่างเดียวไม่ค่อยได้เฮฮา พอมากินข้าวกับผมเลยติดใจ” แบมเล่าไป หัวเราะไป “ช่วงเดือนนั้นเจอกันแทบทุกวัน ผมไปนอนบ้านพี่คุณอยู่ 8-9 วัน พี่เขาบอก กินข้าวกับผมแล้วรู้สึกเหมือนย้อนกลับไปสมัยอยู่อเมริกา ได้คุยได้สังสรรค์ ไม่มีเรื่องเครียด เหมือนกลับไปเป็นเด็กอีกรอบ เลยอยากกินข้าวกับแบมบ่อยๆ”

นอกจากเป็นความแตกต่างในวงการเคป๊อปแล้ว การเป็นคนไทยยังทำให้ แบมแบมอุ่นใจเสมอเมื่อได้นึกถึงชาวไทย

“ผมรู้สึกว่าชาวไทยคือคนอีกกลุ่มที่คอยซัพพอร์ตเราจริงๆ ไม่ว่าเราจะไปอยู่ประเทศ ไหนต่อให้ไปเล่นคอนเสิร์ตที่ประเทศอะไรก็ไม่รู้ อาจจะมีคนมาดูแค่ 300 คนซึ่งบางที เราก็อดรู้สึกไม่ได้ครับว่ามีคนมาแค่นี้เองเหรอ แต่พอคิดแบบนี้ก็จะมีอีกความคิดขึ้น มาเลยว่ามีแฟนอีกหลายคนที่รอเราอยู่ที่ประเทศไทยหรืออย่างเวลาผมมีข่าวไม่ดีออก มา สมมุติ 100 คอมเมนต์จากแฟนทุกประเทศด่าผมหมดไม่เว้นแม้แต่แฟนไทย แต่ถึง จะเป็นแบบนั้น ในใจเรามันจะบอกตัวเองว่าต่อให้มี 100 คนที่ด่าผมก็ยังมีแฟนคลับไทย ที่ยังรักและซัพพอร์ตเรา กับอีกแสนคนที่เขาอาจจะไม่ได้เป็นแฟนคลับแต่รู้จักเราในฐาน ะเด็กไทยที่ไปทำงานต่างบ้านต่างเมือง ที่ยังคอยเอาใจช่วย มันรู้สึกมีความอุ่นใจ”

ความรู้สึกว่ามีคนไทยคอยหนุนหลังและเอาใจช่วยอยู่นี้เองทำให้เขาเองก็อยากตอบแทนด้วย การทำให้ทุกคนภาคภูมิใจ ฉะนั้น หวังว่าทุกคนจะไม่หัวเราะ (แบมกล่าว)ถ้าเป้าหมายสูงสุดใน ชีวิตของแบมแบมคือการถูกเรียกว่า ‘สมบัติของชาติ’

“เคยมีคนเรียกผมว่าเป็นสมบัติของชาติ ผมว่ามันเป็นคำชมที่ดีกว่าหล่อหรือน่ารักอีก ฟังแล้วรู้สึกดีมากๆ ผมอยากให้คนไทยภูมิใจในตัวผม” แบมย้ำด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

“ตัวผมเองก็ภูมิใจในความเป็นคนไทย บอกตลอดไม่ว่าจะไปไหน บางทีก็ทำเป็นมุก “สวัสดีครับ ผมแบมแบม เมมเบอร์ชาวไทยครับ”

เพราะอยากให้คนจำได้ว่าเราคือคนไทยผมพูดเกาหลีเยอะจนคนลืมไปแล้วว่าผมเป็นคนไทย เวลามาไทยแบบนี้ ผมพูดภาษาไทยคนก็ยังไม่ชินที่ผมพูดไทยเยอะเพราะเคยได้ยิน แต่ผมพูดเกาหลี แต่จริงๆแล้วไม่ว่าเราจะเป็นไอดอลในวงเกาหลีหรืออะไร เราก็เป็นคนไทยครับ ตอนนี้มีคนไทยเรียกผมว่าสมบัติของชาติอยู่ 2-3 คน...

ถ้าสามารถทำให้คนทั้งประเทศเรียกผมได้แบบนี้ มันจะดีขนาดไหน”

เรื่อง: ศรีวิการ์ สันติสุข / ภาพ: บิณฑ์ บัวหมื่นชล
http://www.facebook.com/notes/billboard-thailand/BamBam/
http://issuu.com/fiercepublishing/docs/e_book_bbt_36-low/40
สไตลิสต์: ศรันรัตน์ พรรจิรเจริญ / ผู้ช่วยสไตลิสต์: ศราวุฒิ ลาปะ
ช่างแต่งหน้า: ชัยดิษฐ์ สมทรง / ช่างทำผม: นวพล จันทร์ปรุงตน
เสื้อผ้า: แจ็คเกต Coach, กางเกง Hermes, รองเท้า Camper
Special Thanks: JYP Thailand


bam1


























http://mega.nz/#!UgsBCISL!Z8Tq0UxYk0-MafscY99etQLhC978Ts7uglqX1wS6n6Q
25p via. 502BAMX2

http://twitter.com/Billboard_TH/status/906156055779872768
http://twitter.com/Billboard_TH/status/906156055779872768
http://www.instagram.com/p/BYznMXqgl--/
http://www.instagram.com/p/BYyLyRDHWaF/




bam2


credit : 
http://www.billboard-thailand.com/category/magazine/
http://twitter.com/BubblebamB/status/901266057024880640


 

-->
<--



บทความอื่นๆที่เกี่ยวข้อง